การเรียนในวันนี้ คล้าย ๆ กับการเรียนทุก ๆ ชั่วโมงที่ผ่านมา อาจารย์จะมีกิจกรรมให้ทำก่อนเริ่มเรียน
- แจกกระดาษแข็งเล็ก ๆ แบบจับคู่ 1 ต่อ 1 แล้วให้เขียนชื่อจริงของแต่ละคนลงไป จากนั้นให้แต่ละคนนำกระดาษมาติดบนกระดานหน้าชั้นเรียนที่อาจารย์ตีตารางการมาเรียนไว้ให้
กิจกรรมต่อมาคือ การนำเสนอบทความ วีดีโอ และวิจัยของเพื่อน ๆ เมื่อเพื่อน ๆ แต่ละคนนำเสนอเสร็จ อาจารย์ก็จะอธิบายเพิ่มเติม ให้นักศึกษามีความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งได้เห็นมุมมองคณิตศาสตร์ที่หลากหลาย จากผลงานของเพื่อน ๆ แต่ละคน ที่มานำเสนอให้ฟัง ได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน
หลังจากนั้น อาจารย์ก็พาร้องเพลงสำหรับเด็กปฐมวัยที่มีการนำคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากการร้องเพลงไปด้วย เช่น เพลงสวัสดียามเช้า (เรียนรู้เรื่องช่วงเวลา, การเรียงลำดับกิจวัตรประจำวัน), เพลงสวัสดีคุณครู, เพลงหนึ่งปีมีสิบสองเดือน, เพลงเข้าแถว, เพลงจัดแถว เป็นต้น
ต่อมา อาจารย์จึงสอนส่วนที่เป็นเนื้อหา เป็นสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ของคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ได้แก่ สาระที่ 1 เรื่องจำนวน และสาระที่ 2 เรื่องการวัด
ท้ายชั่วโมง อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอของเล่นที่ส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย อาจารย์ก็จะให้คำแนะนำ แนวทางในการประดิษฐ์ของเล่น เพื่อให้คุ้มค่า และครอบคลุมมากที่สุด
ความรู้ที่ได้รับ
- จากกิจกรรมการเขียนชื่อลงในกระดาษเพื่อให้เด็กนำไปติดที่ตารางการมาเรียนนั้น ทำให้ได้แนวทางการนำคณิตศาสตร์มาประยุกต์ในการเรียนการสอนมากขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมง่าย ๆ ส่งเสริมให้เด็กมีความตรงต่อเวลา การเช็คมา-ไม่มาของสมาชิก ถือเป็นการให้เด็กฝึกการนับจำนวน และการที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติ จะนำไปสู่การเกิดทักษะมากขึ้น
- การสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ไม่จำเป็นต้องสอนโดยตรง เช่น การบวก ก็สอนเด็กบวกเลข เป็นต้น ต้องมีวิธีการสอนที่หลากหลาย การเพิ่มขึ้นนั้นก็เป็นพื้นฐานของการบวก ให้เด็กได้เรียนรู้จากการทำกิจกรรม การลงมือปฏิบัติจะได้ผลดีมากกว่า
- ครูสามารถกระตุ้นเด็กที่มาสายเป็นประจำ โดยการใส่ตัวเลขกำกับลำดับการมาก่อน-หลัง เพื่อให้เด็กได้มีความกระตือรือร้นในการมาเรียนมากขึ้น
- ในเลข 1 จำนวน สามารถแบ่งได้หลายกลุ่ม เช่น 20 สามารถแบ่งได้ 15 กับ 5, 10 กับ 10, 18 กับ 2 เป็นต้น ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกัน ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
- การตั้งชื่อกลุ่มให้เด็กปฐมวัย จะต้องมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ในการที่จะนำคณิตศาสตร์มาบูรณาการ เช่น กลุ่มวงกลม กลุ่มสี่เหลี่ยม กลุ่มสามเหลี่ยม กลุ่มห้าเหลี่ยม เป็นต้น
สรุป บทความจากนางสาวเกตุวรินทร์ นามวา
เรื่อง: เสริมการเรียนเลขให้ลูกวัยอนุบาล
ผศ.ดร.ชลาธิป สมาหิโต ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การพัฒนาเรื่องกระบวนการคิดของเด็ก จะเป็นการช่วยส่งเสริมการเรียนคณิตศาสตร์ของลูกได้เป็นอย่างดี 3 รูปแบบ ดังนี้
1. เข้าใจด้วยระบบสัญลักษณ์ เด็กวัยนี้จะนับเลข 1- 5 ได้ แต่ไม่รู้ถึงจำนวนค่าเท่าไรเด็กจะยังไม่เข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจแก่เขา โดยการใช้ระบบสัญลักษณ์ (ภาพหรือสิ่งของที่จับต้องได้) แทนตัวเลข เพราะเด็กจะเข้าใจง่ายกว่า
กระบวนการคิดและคณิตวัยอนุบาล1. เข้าใจด้วยระบบสัญลักษณ์ เด็กวัยนี้จะนับเลข 1- 5 ได้ แต่ไม่รู้ถึงจำนวนค่าเท่าไรเด็กจะยังไม่เข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจแก่เขา โดยการใช้ระบบสัญลักษณ์ (ภาพหรือสิ่งของที่จับต้องได้) แทนตัวเลข เพราะเด็กจะเข้าใจง่ายกว่า
2. เด็กวัยอนุบาลจะทำกิจกรรมโดยใช้ประสาทสัมผัสตากับมือเป็นหลัก การนับสิ่งของที่มี 2 แถว แถวหนึ่งวางห่างกัน แถวสองวางชิดกัน เขาจะบอกว่าแถวที่วางห่างกันมีจำนวนมากกว่า เพราะยาวกว่า คุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยอธิบายให้ลูกฟังอย่างใจเย็นที่สุด
3. ทักษะทางภาษายังต้องสั่งสม ทักษะทางภาษาเป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนคณิตศาสตร์ ซึ่งสำหรับเด็กวัยอนุบาลยังต้องได้รับการกระตุ้นเรื่องการสื่อสาร เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาที่ดีขึ้น อันจะส่งผลให้เขาสามารถตั้งคำถามและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนได้ เช่น มีของอยู่ 3 ชิ้น คุณแม่ให้เพิ่มอีก 2 ชิ้น หากเขามีทักษะทางภาษาที่ดีเขาจะต้องเข้าใจคำว่า “เพิ่ม” คืออะไร และจะนำมาซึ่งกระบวนการคิดและตอบคำถามอย่างถูกต้อง
การเรียนคณิตศาสตร์ของวัยอนุบาลคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจในพัฒนาการของช่วงวัยไม่ควรคาดหวังสูงเพราะคณิตศาสตร์คือทักษะที่ต้องทำซ้ำ ทำบ่อย หมั่นทบทวนอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นไปได้อยากที่ครั้งแรกจะถูกเสมอไป ไม่โมโห ดุด่าเพราะสาเหตุที่ทำไม่ได้ดังใจฉะนั้นการจะให้ลูกตอบได้ในครั้งเดียวนั้นถือเป็นการคาดหวังที่สูงมาก การพัฒนาเรื่องกระบวนการคิดของเด็ก จึงเป็นแนวทางในการช่วยส่งเสริมการเรียนคณิตศาสตร์ของลูกได้เป็นอย่างดีและแนวทางที่สำคัญอีกทางคือ ครอบครัว
สรุป วิจัยจากนางสาวจิรญา พัวโสภิต
การศึกษาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ
จากการจัดประสบการณ์อาหารพื้นบ้านอีสาน
เป็นงานวิจัยของ คุณกุหลาบ ภูมาก บัณฑิตมหาวิทยาศรีนครินทรวิโรฒ
การจัดประสบการณ์การประกอบอาหารพื้นบ้านอีสาน เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้ได้โดยการลงมือทำ เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพราะการประกอบอาหารเป็นสิ่งที่เด็กชอบ และอยากทดลอง นอกจากนี้ยังทำให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้ ในเรื่องของด้านการเปรียบเทียบ ด้านการจัดหมวดหมู่ ด้านการเรียงลำดับ และด้านการรู้ค่าจำนวนอีกด้วย
การทำการทดลอง
อนุบาลชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนโสกเต็นวิทยาคม ต.หนองแดง จ.ขอนแก่น
ระยะเวลาในการทดลอง
ทดลอง 8 สัปดาห์ๆ 3 วันๆ ละ 1 ครั้ง ใช้เวลาในการจัดประสบการณ์ 50 นาที รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง
ระยะที่ 1
ขั้นเตียมก่อนการประกอบอาหาร ครูนำเข้าสู่กิจกรรม โดยใช้สื่อของจริง และรูปภาพ ให้เกิดการเปรียบเทียบ
ระยะที่ 2
ขั้นจัดประสบการอาหาร ให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มละ5คน ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยการจัดหมวดหมูอาหาร การทำการหาร การปรุง การหั่นผัก ร่วมถึงการรู้ค่าของจำนวนด้วย
ระยะที่ 3
ขั้นสรุปเป็นการพูดคุยสนทนาโดยใช้คำถามปลายเปิด เกี่ยวกับลักษณะของวัตถุดิบ ที่ใช้ประกอบอาหารได้ และอาจจะมีกิจกรรมให้วาดรูประบายสีและออกมาถ่ายทอดประสบการณ์หน้าขั้นเรียน
สิ่งที่เด็กได้รับ
1. เรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการ อาหารต่างๆ
2. รู้จักการคำนวณ เช่น การวัด การกะ และปริมาณ
3. พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้แข็งแรง
4. ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การสังเกตุ การชิมรส การดมกลิ่น การฟังเสียงที่เกิดขึ้น และการสัมผัส
5. รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม
สรุป VDO จากนางสาวบงกช เพ่งหาทรัพย์
- โทรทัศน์ครู
สอนคณิตศาสตร์ปฐมวัยด้วยนิทาน (มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา)
ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย จำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคการสอนคณิตศาสตร์ในแง่มุมใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่การนับจำนวนและการท่องจำ อ.ธิดารัตน์จึงมุ่งเน้นการสอนนักศึกษาให้เน้นการนำกิจกรรมไปสอนและปลูกฝังความรักคณิตศาสตร์ให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะการใช้ "นิทาน"เป็นสื่อช่วยสอน เพราะเด็กปฐมวัยทุกคนชอบนิทานอยู่แล้ว ถ้าครูนำนิทานมาบูรณาการสอนเด็กๆจะทำให้เข้ารู้สึกสนุกและมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่อไป โดยการเล่านิทานลูกหมู 3 ตัวเด็กจะได้ทราบถึงการเปรียบเทียบขนาด น้ำหนัก และขนาด
เนื้อหาวิชาวันนี้ได้แก่
สาระที่ 1 มาตรฐาน ค.ป.1.1 เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใช้จำนวนในชีวิตจริง (จำนวน เชื่อมโยงเลขกับรูปสัญลักษณ์)
สาระที่ 2 การวัด มาตรฐาน ค.ป.2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงิน (ชนิดและค่าของเงิน เหรียญและธนบัตร) และเวลา (ช่วงเวลาในแต่ละวัน, ชื่อวันในสัปดาห์และคำที่บอกเกี่ยวกับวัน)
ทักษะที่ได้รับ
- ทักษะการนำเสนอหน้าชั้น เช่น การพูดทักทายที่ถูกต้อง (เรียนอาจารย์ที่เคารพ และสวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน ดิฉัน... จะมานำเสนอ...) ความมั่นใจ การพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นต้น
- ทักษะการคิดจากประเด็นปัญหา
- ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- จากการทำกิจกรรมทำให้ได้แนวทางในการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมากขึ้น เช่น การทำบอร์ดตารางการมาเรียน เพื่อให้เด็กได้มีส่วนร่วม อีกทั้งยังปลูกฝังความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลาให้กับเด็กด้วย
- เพลงที่อาจารย์พาร้อง สามารถนำไปสอนเด็กในอนาคตได้ เพราะเด็กชอบการร้องเพลง การแสดงออก เป็นการนำมาบูรณาการให้เด็กได้เกิดความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
- จากสาระการเรียนรู้ สามารถนำมาประยุกต์ในการเรียนการสอนได้ โดยให้เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ รวมทั้งพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน
- นำความรู้ หรือสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนการทำของเล่นที่ส่งเสริมคณิตศาสตร์จากอาจารย์ จากเพื่อน ๆ ไปประยุกต์ในการสอน เพราะเด็กปฐมวัยจะเกิดการเรียนรู้ได้มากจากการเล่น
เทคนิคการสอนของอาจารย์
- อาจารย์สอนให้นักศึกษาได้คิด วิเคราะห์จากประเด็นปัญหาที่อาจารย์ให้มา ถ้าสิ่งที่นักศึกษาเข้าใจยังไม่ถูกต้อง อาจารย์ก็จะแนะนำแนวทางที่ถูกต้องให้ พร้อมทั้งยังให้อิสระในการคิดของนักศึกษา ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันและกัน
- นอกจากจะสอนเนื้อหาวิชาการแล้ว อาจารย์ยังสอดแทรกคุณธรรมในการเป็นนักศึกษา เป็นครู เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกศิษย์ได้ เช่น การตรงต่อเวลา การมีความรับผิดชอบในหน้าที่ เป็นต้น
การประเมินผล
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน และตั้งใจทำกิจกรรม พยายามแลกเปลี่ยน ทำความเข้าใจ ในสิ่งที่อาจารย์นำเสนอให้ และเรียนรู้จากเพื่อน ๆ
ประเมินเพื่อน : เพื่อน ๆ ตั้งใจทำกิจกรรม และมีการเตรียมความพร้อมในการนำเสนองาน กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น เป็นบรรยากาศที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เตรียมการสอนมาดีมาก ทุกอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และประทับใจที่อาจารย์เป็นกันเอง พูดตลกบ้าง เพื่อให้การเรียนไม่กดดันมากเกินไป รวมถึงชอบเวลาที่อาจารย์เล่าประสบการณ์ และสอดแทรกคุณธรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน